วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

มนุษยสัมพันธ์สร้างความสุข

คนเราเกิดมาจะอยู่คนเดียวไม่ได้ จำเป็นต้องอยู่ร่วมกับครอบครัว กับสังคมและในการมีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นนั้นก็จะต้องมีการปรับตัว เพราะแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันทั้งในด้านร่างกาย ด้านความคิด ความสนใจ ทัศนคติ และความสามารถต่าง ๆ ตลอดจนความแตกต่างของสถานะด้วย ซึ่งความแตกต่างเหล่านี้ อาจจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้น หรือทำให้เกิดความขัดแย้ง ความไม่พอใจทำให้ไม่มีความสุขได้แต่ในการอยู่ร่วมกันนั้น โดยทั่วไปมนุษย์ทุกคนต้องการแสวงหาความสุข ความพอใจในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในแง่มนุษยสัมพันธ์สุขภาพจิตยึดหลักที่ว่า คนที่มีสุขภาพจิตดี คือคนที่มีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข หมายถึง รู้จักตัวเอง ทำให้อื่นมีความสุข มีความพอใจในการอยู่ร่วมกับเราด้วย
ดังนั้น ใคร่ขอเสนอแนะวิธีหรือ หลักในการสร้างมนุษยสัมพันธ์เพื่อเป็นแนวทางที่จะช่วยให้เกิดความสุขในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นเป็นข้อ ๆ ดังนี้
1. พูดจาทักทายผู้คนด้วยอารมณ์ชื่นบานแจ่มใสด้วยน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง
2. ยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งสีหน้าและแววตา (คนที่หน้าตาบึ้งตึงต้องใช้กล้ามเนื้อถึง 72 ส่วน แต่การยิ้มใช้เพียง 14 ส่วนเท่านั้น อย่างนี้แล้วยิ้มไว้ไม่ดีกว่าหรือคะ
3. เรียกขานคนด้วยชื่อของเขา จะทำให้เกิดความพอใจและแสดงถึงความสนิทสนม
4. เป็นคนมีน้ำใจไมตรี และพยายามทำตัวเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
5.เป็นคนมีความจริงใจ คำพูดการกระทำสอดคล้องกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดความไว้วางใจและศรัทธาในตัวเรา
6.เป็นผู้ฟังที่ดีในการสนทนาให้ความสนใจต่อคู่สนทนา
7.มีความใจกว้างและมีสติทั้งต่อคำวิจารณ์และคำชม
8.รู้จักนึกถึงความรู้สึกของคนอื่น เอาใจเขาใส่ใจเรา
9.พร้อมเสนอที่จะให้ความช่วยเหลือ เกื้อกูลเท่าที่จะช่วยได้ ซึ่งการช่วยเหลือกันนั้นถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด
10.เติมอารมณ์ขันเข้าไว้ มีขันติ อดทน และรู้จักก่อนตน
บทบัญญัติ 10 ประการข้างต้นนี้ เราสามารถทำได้ก็จะช่วยให้เราปรับตัวได้ แม้ว่าคนเราจะมีความแตกต่างกัน แต่ทุกคนก็ยังมีความต้องการคล้าย ๆ กัน คือต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนี้ จะเป็นวิธีการสร้างความสุขในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เราได้เป็นอย่างดี โดยเริ่มต้นตั้งแต่ที่บ้านก่อน ถ้าทุกคนที่บ้านเรารักใคร่ปรองดองกันมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันแล้ว สมาชิกในครอบครัวก็จะมีความสุข เรามาเริ่มต้นสร้างมนุษยสัมพันธ์เพื่อความสุขกันตั้งแต่วันนี้เลยนะคะ

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ความรู้สึกที่มีต่อวิชาเตรียมฝึกประสบการณ์วิชา 3

วิชาเตรียมฝึกเป็นวิชาที่ฝึกตัวผู้เรียนและให้ความรู้หลายด้าน
- ฝึกด้านความเป็นระเบียบ
ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าต้องเข้าเรียนวิชาเตรียมฝึกที่คณะวิทยาศาสตร์ ข้าพเจ้าต้องใส่ กระโปรงยาวทรงเอยาวคลุมเข่า ต้งใส่รองเท้า
คัตชูสีดำตามระเบียบของมหาวิทยาลัย และต้องมัดผม ทุกคนต้องแต่งแบบนี้เหมือนกันหมด มิฉะนั้นจะไม่ได้เข้าเรียนวิชานี้
ซึ่งเป็นการแต่งตัวที่ข้าพเจ้าไม่เคยแต่งมาก่อน แต่ก็ต้องทำตามกฎระเบียบ
- ฝึกด้านความตรงต่อเวลาและความรับผิดชอบ
ในการเข้าเรียนแต่ละครั้งต้องมีการเช็คชื่อเข้าเรียน และทุกคนต้องมาพร้อมกันเวลาบ่ายสองโมงเพื่อ ทำการเช็คชื่อเข้าห้องเรียน
-ให้ความรู้ในเรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพที่ดี ว่าในการฝึกให้ตนเองมีบุคคลิกภาพที่ทั้งในด้านมนุษยสัมพันธ์และด้านร่างกาย
เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ในการนำไปใช้ในชีวิตการทำงานจริง
-ให้ความรู้ในเรื่องการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ต้องมีการปฏิบัติงานร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นการสร้างประสบการณ์ในการทำงาน
ร่วมกันเป็นทีมและฝึกความรับผิดชอบร่วมกันในทีม







วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

กินผักและผลไม้ถูกวิธี



ใครที่ชอบกินผักและผลไม้ ถ้าหากกินไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้ได้รับประโยชน์หรือสารอาหารต่าง ๆ น้อยกว่าที่ควร วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาบอก...

แก้วมังกร: ผลไม้ชนิดนี้กินได้เพลินๆ แต่ถ้ากลืนโดยไม่ได้เคี้ยวเมล็ดเล็กๆ สีดำให้แตกซะก่อน อาจพลาดสิ่งดีๆ ไป เพราะในเมล็ดของแก้วมังกรมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ รวมทั้งวิตามินอี การเคี้ยวให้แตกจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารเหล่านี้ได้
ส้ม : ส้มเป็นผลไม้ที่มีไบโอฟลาโวนอยด์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยจะมีมากในเยื่อบุผิวและเนื้อเยื่อส่วนใน ดังนั้น เวลากินส้มจึงไม่ควรลอกเยื่อบุผิวขาวๆ ออก และควรกินเนื้อส้มเข้าไปด้วย ช่วยเพิ่มกาก ใย อาหารอีกต่างหาก
ฝรั่ง : เวลากินฝรั่งหลายคนจะทิ้งเมล็ดแล้วกินแต่เนื้อเพราะมีความเชื่อว่าการกินเมล็ดฝรั่งจะทำให้เป็นโรคไส้ติ่ง ทั้งๆ ที่เมล็ดฝรั่งมีความหวานหอมและเป็นกากใยอาหารที่ดีเยี่ยม จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นเมล็ดอะไรหรืออาหารอะไร หากสามารถเข้าไปในไส้ติ่งได้ก็ทำให้เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบได้ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้อง เป็น เมล็ดฝรั่งอย่างเดียว

แครอท : ผักสีส้มที่กินแล้วผิวสวยเพราะได้ชื่อว่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูง แต่จะได้ประโยชน์มากขึ้นหากปรุงด้วยความร้อนก่อนนำมากิน ความร้อนจะช่วยทำให้ผนังเซลล์ของแครอทอ่อนตัวลงร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายและดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ดีขึ้น
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีสุขภาพที่ดี ก็อย่าลืมหันมากินผักและผลไม้กันเยอะๆ